วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

ไวน์ชั้นเลิศกับแคว้นบอร์โด

คำว่าไวน์ มาจากไหน
เรามาเริ่มต้นด้วยคำว่า VINE  กันเสียก่อนดีกว่า   ซึ่งคำๆนี้เดิมทีก็มีรากศัพท์มาจากคำว่า เถาวัลย์   หรือ  เถาองุ่นนี่แหละครับ  แล้วเขาเอาองุ่นมาทำไวน์  เลยกลายมาเป็นคำว่า  WINE  กันจนกระทั่งทุกวันนี้ และถ้าจะว่ากันไปแล้ว  ไวน์ นี่ถือว่าเป็นเกษตรกรรมที่เก่าแก่สาขาหนึ่งของโลก  ที่สืบตกทอดมาถึงยุคร่วมสมัยนี้กันเลยทีเดียว นอกจากนี้เรายังเชื่อกันอีกว่า  มนุษย์เราได้ค้นพบการทำไวน์  มาตั้งแต่กำเนิดอารยธรรมถึงปัจจุบันกาล  จนได้ยอมรับถึงคุณค่าของไวน์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นในด้านศาสนากิจ  ,งานรื่นเริงสังสรร   หรือแม้กระทั่งเป็นไวน์บำบัด  ที่ใช้ระงับหรือล้างชำระบาดแผล

แหล่งกำเนิดของไวน์
ถ้าจะมาพูดกันถึงแหล่งกำเหนิด ไวน์ ก็เข้าใจว่า  เดิมทีน่าจะมาจากแถวแถบเปอร์เซีย  โดยแหล่งอารยธรรมโบราณที่คุ้นกับ ไวน์ กันดี  น่าจะไม่หนีไปจากพวกชาวอียิปต์ ,  โพนิเซียน ,  กรีก ,  โรมัน  เท่านั้นยังไม่พอ  



คนเหล่านี้บางครั้งยังนำเอาไวน์ไปปรุงผสม    ต่อกับสมุนไพรอีกหลายหลากชนิด  ซึ่งในเวลาต่อมาเลยได้แยกเรียกไวน์พวกนี้ไปเลยว่า AROMATIZE WINE ที่หมายถึงไวน์ประเภทที่มีการแต่งกลิ่น  เช่นอาจใส่พืชที่มีกลิ่นหอมหรือเครื่องเทศลงไป  ให้มีกลิ่นหอมดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น DUBONET ซึ่งเหมาะสำหรับสตรี  และผู้ที่ผอมแห้งแรงน้อย  คือช่วยเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี
 จากนั้นอีกไม่นานหลายประเทศทั่วโลก  ต่างก็ได้มีการผลิตไวน์ประเภทนี้กันอย่างเอิกเกริกซึ่งประเทศที่ทำการผลิตปริมาณสูงสุด  และลดหลั่นกันไปคือ  อิตาลี  ฝรั่งเศส  สเปน  อาร์เจนตินา อัลจีเรีย  รัสเซีย  สหรัฐอเมริกา  และแม้กระทั่งปอร์ตุเกส




แต่เมื่อพูดถึงคุณภาพก็ยังต้องยกนิ้วให้ฝรั่งเศสเขา  ด้วยเหตุผลหลายประการ  ที่สำคัญก็คือสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย     ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะทางภาครัฐบาล   เขาได้ให้ความสำคัญ  สนับสนุน  ควบคุมดูแลกันใกล้ชิดอย่างจิงจังและต่อเนื่องตลอดมา ส่วนไวน์จากเยอรมันจะว่ากันไปแล้ว  ก็จัดว่ายอดเยี่ยมไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันสักเท่าไหร่  ถึงแม้ว่าปริมาณการผลิตจะน้อยกว่าประเทศที่กล่าวถึงแล้วก็ตาม




ประวัติการกำเนิดของไวน์
ซึ่งเรื่องนี้บางตำราก็โยงใยไปพัวพันถึงศาสนาคริสต์เมื่อครั้งกระโน้นเอาเลย โดยกล่าวว่าในพระคัมภีร์นั้น   ได้มีการพูดถึงเรื่องไวน์นี้ไว้ถึง   521 ครั้ง  และเทพ DIONYSOS-  เทพ  BACCHUS  ได้นับถือกันว่านี่แหละคือเทพผู้สร้างไวน์และในสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจนั้น    ชาวโรมันได้ตำหรับการทำไวน์จากชาวกอล ( GAUL ) เมื่อชาวโรมันยาตราทัพสู่ที่ใด  ก็ได้เผยแพร่ความรู้เรื่องไวน์นี้ไปสู่ดินแดนนั้น 


                                          เทพ DIONYSOS        เทพ  BACCHUS 


ประวัติศาสตร์และเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับไวน์
  •  ศตวรรษที่ 1  การปลูกและการปรุงผสมไวน์ได้มีการถ่ายทอดเข้าสู่เขตหุบเขาโรน ( RHONE ) ก่อนเป็นอันดับแรก
  •  ศตวรรษที่ 2  ศาสตร์แห่งไวน์ถึงได้เปิดฉากเผยแพร่สู่เขตเบอร์กันดี ( BURGUNDY ) และบอร์โดว์ ( BORDEAUX ) ตามลำดับ
  • ศตวรรษที่ 3  จึงมีอิทธิพลไปสู่หุบเขาลัวร์ ( LOIRE )
  • ศตวรรษที่ 4  ถึงได้ประสิทธิ์ประสาทเข้าไปในเขตแชมเปญ ( CHAMPAGNE ) และโมแซล ( MOSELLE ) 
  • เมื่ออาณาจักรโรมันถึงจะเสื่อมและล่มในเวลาต่อมา  แต่ศาสตร์การปลูกและทำไวน์ก็หาได้ล่มสลายลงไปไม่  โบสถ์คริสจักรต่างๆยังรักษาไร่องุ่น  และดำรงศาสนกิจนี้ไว้เรื่อยมา  โดยเฉพาะนักบวชชาว  BENEDICTINE ได้มีบทบาทสำคัญในการธำรงและพัฒนาศาสตร์นี้สืบทอดมาจนทุกวันนี้ ดังนั้นในยุคกลางจะเห็นว่ามีไวน์อยู่ในทุกแคว้นของดินแดนฝรั่งเศส
  • ในศตวรรษที่ 12 ไวน์ฝรั่งเศสได้เริ่มส่งออกสู่ลูกค้าที่สำคัญอันได้แก่  อังกฤษ , ฟาแลนเดิส ( FLANDERS ) และเยอรมัน  อันเป็นเหตุให้มีการรักษามาตรฐานเข้มงวดขึ้นโดยเฉพาะ 1385 ดยุคฟิลิปของแคว้นเบอร์กันดี   ได้เริ่มวางมาตราฐานรักษาคุณภาพให้เป็นขั้นตอน  หลังจากนั้นต่อมา  ไวน์ได้มีส่วนสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับโรงแรม  ซึ่งเป็นแหล่งกินอยู่ของผู้คนสัญจรไปมา  
  • ในศตวรรษที่ 18 ได้มีการบรรจุขวดและปิดด้วยจุกก๊อก  เพื่อให้ไวน์ได้มีเวลาสำหรับบ่ม  แทนที่จะนำมาดื่มสดๆ  ตั้งแต่ไวน์ยังเพิ่งรินใหม่ๆจากถังหม้อเก็บ   ไร่องุ่นได้ค่อยๆขยายจาก  3.830.000 เอเคอร์  ในปี 1770 เป็น 5.042.500 เอเคอร์ ในปี 1
  • แต่ในศตวรรษที่ 19 ประวัติศาสตร์ไวน์ได้ประสพโศกนาฎกรรม  โดยประมาณปี1884 ไร่องุ่นแทบทั้งหมดของฝรั่งเศส  ถูกทำลายโดยโรค PHYLLOXERA ( เกิดจากแมลงศัตรูพืชมีถิ่นเดิมจากอเมริกา )                       
  • แต่แล้วในที่สุดก็ได้ค้นพบวิธีต่อตาต้นองุ่นฝรั่งเศส   เข้ากับต้นเชื้อพันธุ์อเมริกันที่ปลอดภัยจากโรคดังกล่าว  ไร่ที่มีเชื้อดังกล่าวต้องถูกทำลายและปลูกแทนใหม่  บางส่วนต้องถูกปล่อยร้างอย่างน่าเสียดายอุบัติการณ์ที่เลวร้ายใช่จะจบสิ้นเสียทีเดียว  เมื่อพบว่าได้มีการทำไวน์อย่างผิดๆถูกๆ  รวมทั้งการปลอมหรือผสมไวน์แบบไม่ถูกต้องเกิดขึ้น  จนต้องมีร่างกฏออกมาบังคับติดๆกัน
  • เมื่อ  14  สิงหาคม  1888 ได้เพิ่มมีการควบคุมปริมาณผลิตผล และออกกฏ SERVICE DE LA REPRESSION  DES  FRAUDES ในปี 1805  ออกมา จากนั้นในปี 1807 จึงมีการปฏิรูปผู้ผลิตที่นำโดยจักพรรดิ MARCELIN ALBERT ขึ้นมาอีกครั้ง
  • ระหว่างสงครามโลกที่ 1 เกิดการขาดแคลนไวน์อยู่ระยะหนึ่ง  จนในปี 1831-1839 ได้มีการผลิตไวน์ล้นจนเกินความต้องการ   จนรัฐบาลฝรั่งเศสต้องเข้าแทรกแซง โดยออกกฏลงโทษผู้ผลิตเกินและห้ามการปลูกองุ่นใหม่  รวมทั้งมีการผ่านกฏหมายควบคุม APPELLATION D’ORIGINE CONTROLEE ( A.O.C ) ,VINS DE LIMITES DE QUALITE SUPERIEURE ( V.D.Q.S ) , VINS DE PAYS และล่าสุดได้แก่ VINS DE TABLE 
    ซึ่งเท่ากับเป็นการจัดคุณภาพไวน์ฝรั่งเศสแบบกว้างๆ  จากสูงลงลำดับล่างตามลำดับอันทำให้ไวน์ฝรั่งเศสได้รับความเชื่อถืออย่างสูงสุด  และเป็นที่เลื่องชื่อไปทั่วโลก 
       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น