คำว่าไวน์ มาจากไหน
เรามาเริ่มต้นด้วยคำว่า VINE กันเสียก่อนดีกว่า ซึ่งคำๆนี้เดิมทีก็มีรากศัพท์มาจากคำว่า เถาวัลย์ หรือ เถาองุ่นนี่แหละครับ แล้วเขาเอาองุ่นมาทำไวน์ เลยกลายมาเป็นคำว่า WINE กันจนกระทั่งทุกวันนี้ และถ้าจะว่ากันไปแล้ว ไวน์ นี่ถือว่าเป็นเกษตรกรรมที่เก่าแก่สาขาหนึ่งของโลก ที่สืบตกทอดมาถึงยุคร่วมสมัยนี้กันเลยทีเดียว นอกจากนี้เรายังเชื่อกันอีกว่า มนุษย์เราได้ค้นพบการทำไวน์ มาตั้งแต่กำเนิดอารยธรรมถึงปัจจุบันกาล จนได้ยอมรับถึงคุณค่าของไวน์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นในด้านศาสนากิจ ,งานรื่นเริงสังสรร หรือแม้กระทั่งเป็นไวน์บำบัด ที่ใช้ระงับหรือล้างชำระบาดแผล
แหล่งกำเนิดของไวน์
ถ้าจะมาพูดกันถึงแหล่งกำเหนิด ไวน์ ก็เข้าใจว่า เดิมทีน่าจะมาจากแถวแถบเปอร์เซีย โดยแหล่งอารยธรรมโบราณที่คุ้นกับ ไวน์ กันดี น่าจะไม่หนีไปจากพวกชาวอียิปต์ , โพนิเซียน , กรีก , โรมัน เท่านั้นยังไม่พอ
คนเหล่านี้บางครั้งยังนำเอาไวน์ไปปรุงผสม ต่อกับสมุนไพรอีกหลายหลากชนิด ซึ่งในเวลาต่อมาเลยได้แยกเรียกไวน์พวกนี้ไปเลยว่า AROMATIZE WINE ที่หมายถึงไวน์ประเภทที่มีการแต่งกลิ่น เช่นอาจใส่พืชที่มีกลิ่นหอมหรือเครื่องเทศลงไป ให้มีกลิ่นหอมดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น DUBONET ซึ่งเหมาะสำหรับสตรี และผู้ที่ผอมแห้งแรงน้อย คือช่วยเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี
จากนั้นอีกไม่นานหลายประเทศทั่วโลก ต่างก็ได้มีการผลิตไวน์ประเภทนี้กันอย่างเอิกเกริกซึ่งประเทศที่ทำการผลิตปริมาณสูงสุด และลดหลั่นกันไปคือ อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน อาร์เจนตินา อัลจีเรีย รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และแม้กระทั่งปอร์ตุเกส
แต่เมื่อพูดถึงคุณภาพก็ยังต้องยกนิ้วให้ฝรั่งเศสเขา ด้วยเหตุผลหลายประการ ที่สำคัญก็คือสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะทางภาครัฐบาล เขาได้ให้ความสำคัญ สนับสนุน ควบคุมดูแลกันใกล้ชิดอย่างจิงจังและต่อเนื่องตลอดมา ส่วนไวน์จากเยอรมันจะว่ากันไปแล้ว ก็จัดว่ายอดเยี่ยมไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าปริมาณการผลิตจะน้อยกว่าประเทศที่กล่าวถึงแล้วก็ตาม
ประวัติการกำเนิดของไวน์
ซึ่งเรื่องนี้บางตำราก็โยงใยไปพัวพันถึงศาสนาคริสต์เมื่อครั้งกระโน้นเอาเลย โดยกล่าวว่าในพระคัมภีร์นั้น ได้มีการพูดถึงเรื่องไวน์นี้ไว้ถึง 521 ครั้ง และเทพ DIONYSOS- เทพ BACCHUS ได้นับถือกันว่านี่แหละคือเทพผู้สร้างไวน์และในสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจนั้น ชาวโรมันได้ตำหรับการทำไวน์จากชาวกอล ( GAUL ) เมื่อชาวโรมันยาตราทัพสู่ที่ใด ก็ได้เผยแพร่ความรู้เรื่องไวน์นี้ไปสู่ดินแดนนั้น
เทพ DIONYSOS เทพ BACCHUS
ประวัติศาสตร์และเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับไวน์
- ศตวรรษที่ 1 การปลูกและการปรุงผสมไวน์ได้มีการถ่ายทอดเข้าสู่เขตหุบเขาโรน ( RHONE ) ก่อนเป็นอันดับแรก
- ศตวรรษที่ 2 ศาสตร์แห่งไวน์ถึงได้เปิดฉากเผยแพร่สู่เขตเบอร์กันดี ( BURGUNDY ) และบอร์โดว์ ( BORDEAUX ) ตามลำดับ
- ศตวรรษที่ 3 จึงมีอิทธิพลไปสู่หุบเขาลัวร์ ( LOIRE )
- ศตวรรษที่ 4 ถึงได้ประสิทธิ์ประสาทเข้าไปในเขตแชมเปญ ( CHAMPAGNE ) และโมแซล ( MOSELLE )
- เมื่ออาณาจักรโรมันถึงจะเสื่อมและล่มในเวลาต่อมา แต่ศาสตร์การปลูกและทำไวน์ก็หาได้ล่มสลายลงไปไม่ โบสถ์คริสจักรต่างๆยังรักษาไร่องุ่น และดำรงศาสนกิจนี้ไว้เรื่อยมา โดยเฉพาะนักบวชชาว BENEDICTINE ได้มีบทบาทสำคัญในการธำรงและพัฒนาศาสตร์นี้สืบทอดมาจนทุกวันนี้ ดังนั้นในยุคกลางจะเห็นว่ามีไวน์อยู่ในทุกแคว้นของดินแดนฝรั่งเศส
- ในศตวรรษที่ 12 ไวน์ฝรั่งเศสได้เริ่มส่งออกสู่ลูกค้าที่สำคัญอันได้แก่ อังกฤษ , ฟาแลนเดิส ( FLANDERS ) และเยอรมัน อันเป็นเหตุให้มีการรักษามาตรฐานเข้มงวดขึ้นโดยเฉพาะ 1385 ดยุคฟิลิปของแคว้นเบอร์กันดี ได้เริ่มวางมาตราฐานรักษาคุณภาพให้เป็นขั้นตอน หลังจากนั้นต่อมา ไวน์ได้มีส่วนสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับโรงแรม ซึ่งเป็นแหล่งกินอยู่ของผู้คนสัญจรไปมา
- ในศตวรรษที่ 18 ได้มีการบรรจุขวดและปิดด้วยจุกก๊อก เพื่อให้ไวน์ได้มีเวลาสำหรับบ่ม แทนที่จะนำมาดื่มสดๆ ตั้งแต่ไวน์ยังเพิ่งรินใหม่ๆจากถังหม้อเก็บ ไร่องุ่นได้ค่อยๆขยายจาก 3.830.000 เอเคอร์ ในปี 1770 เป็น 5.042.500 เอเคอร์ ในปี 1
- แต่ในศตวรรษที่ 19 ประวัติศาสตร์ไวน์ได้ประสพโศกนาฎกรรม โดยประมาณปี1884 ไร่องุ่นแทบทั้งหมดของฝรั่งเศส ถูกทำลายโดยโรค PHYLLOXERA ( เกิดจากแมลงศัตรูพืชมีถิ่นเดิมจากอเมริกา )
- แต่แล้วในที่สุดก็ได้ค้นพบวิธีต่อตาต้นองุ่นฝรั่งเศส เข้ากับต้นเชื้อพันธุ์อเมริกันที่ปลอดภัยจากโรคดังกล่าว ไร่ที่มีเชื้อดังกล่าวต้องถูกทำลายและปลูกแทนใหม่ บางส่วนต้องถูกปล่อยร้างอย่างน่าเสียดายอุบัติการณ์ที่เลวร้ายใช่จะจบสิ้นเสียทีเดียว เมื่อพบว่าได้มีการทำไวน์อย่างผิดๆถูกๆ รวมทั้งการปลอมหรือผสมไวน์แบบไม่ถูกต้องเกิดขึ้น จนต้องมีร่างกฏออกมาบังคับติดๆกัน
- เมื่อ 14 สิงหาคม 1888 ได้เพิ่มมีการควบคุมปริมาณผลิตผล และออกกฏ SERVICE DE LA REPRESSION DES FRAUDES ในปี 1805 ออกมา จากนั้นในปี 1807 จึงมีการปฏิรูปผู้ผลิตที่นำโดยจักพรรดิ MARCELIN ALBERT ขึ้นมาอีกครั้ง
- ระหว่างสงครามโลกที่ 1 เกิดการขาดแคลนไวน์อยู่ระยะหนึ่ง จนในปี 1831-1839 ได้มีการผลิตไวน์ล้นจนเกินความต้องการ จนรัฐบาลฝรั่งเศสต้องเข้าแทรกแซง โดยออกกฏลงโทษผู้ผลิตเกินและห้ามการปลูกองุ่นใหม่ รวมทั้งมีการผ่านกฏหมายควบคุม APPELLATION D’ORIGINE CONTROLEE ( A.O.C ) ,VINS DE LIMITES DE QUALITE SUPERIEURE ( V.D.Q.S ) , VINS DE PAYS และล่าสุดได้แก่ VINS DE TABLE
ซึ่งเท่ากับเป็นการจัดคุณภาพไวน์ฝรั่งเศสแบบกว้างๆ จากสูงลงลำดับล่างตามลำดับอันทำให้ไวน์ฝรั่งเศสได้รับความเชื่อถืออย่างสูงสุด และเป็นที่เลื่องชื่อไปทั่วโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น